
ข่าวดีสำหรับลูกจ้างในประเทศไทย! ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” จะเริ่มมีผลบังคับใช้ เพื่อเป็นหลักประกันและความมั่นคงทางการเงินให้กับลูกจ้างในกรณีที่ต้องออกจากงาน เกษียณอายุ หรือเสียชีวิต
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างคืออะไร?
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างคือสวัสดิการสำคัญที่ถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองแรงงาน โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินทุนสำรองสำหรับลูกจ้างเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การลาออก, การถูกเลิกจ้าง (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด), การสิ้นสุดสัญญาจ้าง, การเกษียณอายุ หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิต โดยเงินสงเคราะห์จะถูกจ่ายให้กับผู้ที่ลูกจ้างระบุไว้ หรือทายาทตามกฎหมายในกรณีที่ไม่มีการระบุ
กองทุนนี้ไม่เพียงช่วยแบ่งเบาภาระและลดความเดือดร้อนให้กับลูกจ้างและครอบครัว แต่ยังส่งเสริมวินัยการออมเงิน เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ยามจำเป็น
ใครต้องเข้าร่วมกองทุนนี้?
กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และไม่ได้จัดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะต้องดำเนินการให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายใหม่นี้
สำหรับลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ก็ยังคงต้องสมัครเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างด้วยเช่นกัน หากนายจ้างมีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
ข้อยกเว้น: กิจการบางประเภทที่ไม่ได้แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ เช่น มูลนิธิ สมาคม หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร จะไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายนี้ อย่างไรก็ตาม หากลูกจ้างในกิจการเหล่านี้ต้องการเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยความยินยอมของนายจ้าง ก็สามารถทำได้
อัตราการสะสมและสมทบ
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะเริ่มจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบในช่วงแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 30 กันยายน 2573 ในอัตราดังนี้:
- ลูกจ้าง: หักเงินสะสม 0.25% ของค่าจ้าง
- นายจ้าง: จ่ายเงินสมทบเท่ากัน 0.25% ของค่าจ้าง
และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป อัตราการจัดเก็บจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.50% ของค่าจ้าง (ลูกจ้าง 0.50% และนายจ้าง 0.50%)
ข้อควรรู้สำหรับนายจ้างและลูกจ้าง
- การดำเนินการของนายจ้าง: นายจ้างต้องยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้างและรายละเอียดอื่นๆ หากนายจ้างไม่ประสงค์เข้าร่วมกองทุน แต่ต้องการจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างเอง ก็สามารถทำได้ตามกฎกระทรวง โดยต้องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเป็นลายลักษณ์อักษร
- การนำส่งเงิน: นายจ้างจะหักค่าจ้างของลูกจ้างทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง และนำส่งเงินสะสมพร้อมเงินสมทบของนายจ้างเข้ากองทุนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
- ฐานการคำนวณ: เงินสะสมและเงินสมทบจะคำนวณจาก “ค่าจ้าง” ที่ลูกจ้างได้รับ ซึ่งรวมถึงค่าจ้างตามผลงาน (เช่น ค่าคอมมิชชั่น), ค่าเบี้ยเลี้ยงที่จ่ายประจำ, และค่าจ้างในวันหยุดหรือวันลา
- บทลงโทษนายจ้าง: หากนายจ้างไม่นำส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบ หรือส่งไม่ครบถ้วน จะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และอาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากไม่ยื่นแบบรายการ หรือยื่นข้อมูลอันเป็นเท็จ
- สิทธิของลูกจ้างเมื่อออกจากงาน: ไม่ว่าลูกจ้างจะออกจากงานด้วยกรณีใด (ลาออก, เกษียณ, สิ้นสุดสัญญาจ้าง, ถูกเลิกจ้าง) จะได้รับเงินสะสม เงินสมทบ และดอกผลจากเงินดังกล่าวคืนทั้งหมด ส่วนกรณีเสียชีวิต เงินจะจ่ายให้กับบุคคลที่ลูกจ้างระบุไว้ หรือทายาทตามกฎหมาย
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความมั่นคงให้กับแรงงานไทยทุกคน
ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่าง กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ประกันสังคม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ที่มา: