Skip to main content

CT Scan vs MRI: แตกต่างกันอย่างไร?

ในวงการแพทย์ การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นความผิดปกติภายในร่างกายได้อย่างแม่นยำ เครื่องมือยอดนิยมสองชนิดที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบกันคือ CT Scan (Computed Tomography Scan) และ MRI (Magnetic Resonance Imaging) แม้ทั้งคู่จะใช้เพื่อสร้างภาพอวัยวะภายใน แต่มีหลักการทำงานและจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

CT Scan (Computed Tomography Scan)

CT Scan เป็นการตรวจด้วยรังสีเอกซ์ (X-ray) โดยเครื่องจะหมุนรอบตัวผู้ป่วยและเก็บข้อมูลในรูปแบบ 3 มิติ จากนั้นคอมพิวเตอร์จะนำข้อมูลมาสร้างเป็นภาพตัดขวางและภาพ 3 มิติของอวัยวะภายใน ทำให้แพทย์เห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน

หลักการทำงาน: ใช้รังสีเอกซ์ในการเก็บภาพ และประมวลผลด้วยระบบคอมพิวเตอร์

จุดเด่นและการใช้งาน:

  • ตรวจกระดูกและอวัยวะแข็ง: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตรวจกระดูกแตกหัก, การบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง, เนื้องอกกระดูก, และการตรวจหาหินปูนในอวัยวะต่างๆ
  • ภาวะฉุกเฉิน: รวดเร็ว เหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉินที่ต้องการวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว เช่น เลือดออกในสมอง, การบาดเจ็บภายใน, หรือตรวจหาเนื้องอกในปอด
  • การวางแผนการรักษา: ใช้ในการวางแผนการผ่าตัด, การฉายรังสี, หรือการทำหัตถการบางอย่าง

ข้อดี:

  • ใช้เวลาในการตรวจรวดเร็ว (ประมาณ 10-15 นาที)
  • ได้ภาพที่มีความละเอียดสูงกว่าการอัลตราซาวด์
  • ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด
  • เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะในร่างกายที่ไม่สามารถทำ MRI ได้

ข้อเสีย:

  • มีการใช้รังสีเอกซ์ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงจากการได้รับรังสีในปริมาณมากเกินไป (แม้จะอยู่ในระดับที่ปลอดภัยตามมาตรฐาน)
  • บางครั้งอาจถูกบดบังด้วยกระดูก ทำให้การแปลผลเนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่ใกล้กระดูกทำได้ไม่แม่นยำ

MRI (Magnetic Resonance Imaging)

MRI เป็นการตรวจวินิจฉัยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังสูงร่วมกับคลื่นวิทยุ โดยไม่มีการใช้รังสีเอกซ์ คลื่นแม่เหล็กจะทำให้โปรตอนในร่างกายมีการเรียงตัวและปล่อยสัญญาณออกมา ซึ่งคอมพิวเตอร์จะนำสัญญาณเหล่านี้มาสร้างเป็นภาพที่มีความละเอียดสูงและแยกแยะเนื้อเยื่ออ่อนต่างๆ ได้อย่างชัดเจน

หลักการทำงาน: ใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุในการสร้างภาพ โดยไม่มีการใช้รังสี

จุดเด่นและการใช้งาน:

  • ตรวจเนื้อเยื่ออ่อน: มีความโดดเด่นในการตรวจเนื้อเยื่ออ่อนต่างๆ เช่น สมอง, ไขสันหลัง, กล้ามเนื้อ, เส้นเอ็น, ข้อต่อ, อวัยวะในช่องท้อง (ตับ, ไต, ม้าม), และหลอดเลือด
  • ความละเอียดสูง: ให้ภาพที่มีความคมชัดและแยกความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อปกติกับเนื้อเยื่อที่ผิดปกติได้ดีกว่า CT Scan ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
  • ตรวจเนื้องอก: เหมาะสำหรับการตรวจวินิจฉัยเนื้องอกในสมอง, ไขสันหลัง, หรืออวัยวะอื่นๆ ที่ต้องการความละเอียดสูง

ข้อดี:

  • ไม่ใช้รังสี จึงปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ที่ต้องตรวจบ่อยครั้ง หรือผู้ที่กังวลเรื่องรังสี เช่น สตรีมีครรภ์ (ในบางกรณีที่จำเป็น)
  • ได้ภาพที่ละเอียดและคมชัด สามารถแยกความแตกต่างของเนื้อเยื่ออ่อนได้ดีเยี่ยม
  • สามารถสร้างภาพได้หลายระนาบและเป็นภาพ 3 มิติ

ข้อเสีย:

  • ใช้เวลาในการตรวจค่อนข้างนาน (ประมาณ 30-90 นาที หรืออาจนานกว่านั้น)
  • มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า CT Scan
  • ผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะบางชนิดในร่างกาย (เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ, คลิปหนีบหลอดเลือดในสมอง) หรือโลหะบางประเภท (เช่น กระสุน, สะเก็ดระเบิด) ไม่สามารถทำ MRI ได้ เนื่องจากสนามแม่เหล็กจะส่งผลกระทบต่อโลหะเหล่านั้น
  • ผู้ที่กลัวที่แคบ (Claustrophobia) อาจรู้สึกอึดอัด เนื่องจากต้องเข้าไปในอุโมงค์เครื่อง MRI ที่ค่อนข้างจำกัด

มาดูภาพตัวอย่างความแตกต่างระหว่าง MRI และ CT scan กัน

ภาพตัวอย่างความแตกต่างระหว่าง MRI และ CT scan

สรุปความแตกต่างที่สำคัญ

คุณสมบัติCT Scan (Computed Tomography Scan)MRI (Magnetic Resonance Imaging)
หลักการทำงานใช้รังสีเอกซ์ (X-ray)ใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ
การใช้รังสีมีการใช้รังสีไม่มีรังสี
เวลาในการตรวจสั้น (ประมาณ 10-15 นาที)นาน (ประมาณ 30-90 นาทีขึ้นไป)
ความละเอียดของภาพดีสำหรับกระดูกและภาวะฉุกเฉินดีเยี่ยมสำหรับเนื้อเยื่ออ่อน แยกความแตกต่างได้ดี
เหมาะสมกับการตรวจกระดูก, เลือดออกเฉียบพลัน, ปอด, การบาดเจ็บรุนแรงสมอง, ไขสันหลัง, กล้ามเนื้อ, เส้นเอ็น, ข้อต่อ, อวัยวะในช่องท้อง (เนื้อเยื่ออ่อน)
ข้อจำกัดหลักการสัมผัสรังสี, ภาพเนื้อเยื่ออ่อนใกล้กระดูกอาจถูกบดบังผู้มีโลหะในร่างกายบางชนิด, กลัวที่แคบ, ค่าใช้จ่ายสูงกว่า

การเลือกใช้ CT Scan หรือ MRI ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย บริเวณที่ต้องการตรวจ และดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะพิจารณาจากข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่แม่นยำและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

Leave a Reply